LUNCH WITH NIDNOK & EAKCHAI
กินข้าวกับคู่รักชาวธนบุเรี่ยน นิดนก-เอกชัย ที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า
บ่ายแก่วันเสาร์ / บนโต๊ะอาหาร / เกรฮาวด์ คาเฟ่ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า
เพื่อนกินข้าวของเรามื้อนี้มีชื่อว่า นิดนก-พนิตชนก ดำเนินธรรม เธอเป็นนักเขียนหญิงผมสั้นเจ้าของคอนเซปต์ ‘ผู้หญิงเชิงรุก’ พ็อกเก็ตบุ๊ก 2 เล่มของเธอเล่าเรื่องราวความรักและวิธีดูแลความสัมพันธ์ตามแบบฉบับตลกร้ายนิดๆ ยิ้มๆ หน่อยๆ ซึ่งเป็นที่มาให้การนัดกินข้าวของเราครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคน แต่ยังมีบุคคลที่สามและสี่ อันได้แก่ เอกชัย สามีของเธอ และเด็กสาวตัวน้อยอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในท้องของนิดนก
ส่วนเหตุผลที่ต้องเป็นเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เพราะที่นี่คือห้างสรรพสินค้าที่ใกล้บ้านของนิดนกที่สุด ถึงขั้นที่เธอนิยามตัวเองว่าเป็น ‘ชาวธนบุเรี่ยน’ แถมยังผูกพันกับที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ทำให้หัวข้อในการคุยไปกินไปของเราเลยมีเยอะแยะทั้งเรื่องอดีต ปัจจุบัน บางแค การงาน การกิน ชีวิต ยันความเป็นแม่ เป็นบทสนทนาที่เข้ากันดีกับรสจัดจ้านของอาหารตามคอนเซปต์ Basic With a Twist ของเกรฮาวด์คาเฟ่เขาล่ะ!
หมายเหตุ: บทความนี้สัมภาษณ์และเรียบเรียงขึ้นตอนที่ เด็กหญิงณนญ ลูกสาวของนิดนกยังไม่ถึงเวลาออกมาลืมตาดูโลก
ความทรงจำของผู้หญิงเชิงรุก กับ เกรฮาวด์ คาเฟ่ เป็นยังไง
สมัยเพิ่งทำงานใหม่ๆ การกินเกรฮาวด์คาเฟ่จะต้องเป็นวาระพิเศษนิดนึง จำได้ว่าครั้งแรกที่มากินกับเอกชัยคือวันครบรอบ น่าจะคบกันครบสองเดือนหรือหนึ่งปีนี่แหละจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าตอนนั้นกินที่สยามเซ็นเตอร์ ส่วนทำไมถึงเลือกเกรฮาวด์ เพราะตอนนั้นเราพยายามจะหาร้านพิเศษๆ ไง กระแดะ (ยิ้ม) เลยปรึกษาพี่ที่ออฟฟิศที่มีทักษะเรื่องหาของกิน นางก็แนะนำให้มาที่นี่ หลังจากนั้นพอโตขึ้นก็เปลี่ยนจากกินเฉพาะวาระพิเศษ กลายเป็นร้านที่นึกอยากกินก็ไปกินเลย เดินเซ็นทรัลปิ่นเกล้าอยู่ก็สะกิดบอกเอกชัย เธอๆ ไปกินเกรฮาวด์กันเถอะ
บ้านอยู่ไหน ทำไมถึงมาเซ็นทรัลปิ่นเกล้าบ่อย
บ้านอยู่บางแค เราเป็นชาวบางแค ซอยเพชรเกษม 69 ตอนที่รู้ว่ามีเกรฮาวด์มาเปิดที่นี่ถึงกับอุทานว่า xxx…มันมาฝั่งธนฯ แล้ว ใกล้มากเพราะเทียบกับ The Circle แล้ว สาขานี้ใกล้บ้านเรายิ่งกว่า จะบอกว่าเราเติบโตมากับเซ็นทรัลปิ่นเกล้าเลยก็ได้
ถือเป็นแหล่งความเจริญแรกๆ ของชาวธนบุเรียน?
ใช่ จำได้เลยว่าตอนห้างฯ นี้เปิดเราน่าจะอยู่ประถม ซึ่งแม่เราตื่นเต้นมากว่าจะมีเซ็นทรัลมาเปิดแล้ว รุ่นพี่มัธยมทุกคนก็กรี๊ดว่ามีห้างฯ ใหม่มาเปิดแถวโรงเรียน (โรงเรียนเขมะสิริอนุสรณ์) พอเราขึ้นมัธยม การที่ตอนเย็นได้มาเซ็นทรัลปิ่นเกล้ากินบาร์บีคิวกับเพื่อน มาซื้อเทปกับแผ่นหนังที่ร้านชั้นล่างทุกอาทิตย์ มันโคตรเท่ ซึ่งทุกวันนี้หลายร้านที่เราผูกพันตอนวัยรุ่นก็หายไปเยอะแล้ว แต่การที่เกรฮาวด์คาเฟ่มาเปิดตอนที่ห้างฯ รีโนเวตใหม่พอดีเราว่ามันถูกเวลา เอาจริงๆ ถ้ามาเปิดสมัยที่ห้างฯ เปิดใหม่คนก็คงงงๆ เหมือนกัน (หัวเราะ)
ข้อดีของการเป็นชาวธนบุเรียน คืออะไร
เราว่าข้อดีคือย่านฝั่งธนมันมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ค่อยปรุงแต่ง อันนี้เป็นการมองจากมุมของเราเองนะ คือถ้าเราข้ามสะพานสาทรไปกินข้าวในเมือง เราก็รู้สึกว่าต้องแต่งตัวและต้องมีมาดนิดนึงละ หรือถ้าเป็นย่านลาดพร้าวรามคำแหงมันจะดูมีความวัยรุ่นมากกว่านิดนึง แต่ถ้าอยู่ในย่านของชาวธนบุเรียนเนี่ยมันจะโจ๊ะๆ คือเราจะอะไรก็ได้เลย แต่งตัวเหมือนอยู่บ้านเดินออกมา ต่อให้มากินร้านอาหารแบบเกรฮาวด์คาเฟ่ก็ยังผ่อนปรนได้ ไม่ต้องแต่งหน้าเต็ม ก็ฉันมากินข้าวแถวบ้านฉัน
(จังหวะที่ Greyhound Life Juice สูตร Power C มาเสิร์ฟที่โต๊ะ)
ตั้งแต่ท้อง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
ตอนแรกคิดว่าคงจะไม่เปลี่ยนเลย แต่มันจะมีบางวูบอย่างเช่น ปกติเราไม่กินผลไม้เลย น้ำผลไม้เราไม่แตะแน่ๆ แต่พอท้องก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่เรากิน ในน้ำผลไม้นี่น่าจะมีไฟเบอร์สูงนะ กินก็ได้ เพื่อลูก หรืออย่างการเดิน การนั่ง การนอน การยืน ทุกอย่างมันจะไปเปลี่ยนในเชิงแบบนั้น ส่วนในเชิงการทำงานก็มีบ้างเพราะเหนื่อยง่ายขึ้น เราทำงานตำแหน่งที่ต้องจัดเวิร์กชอปและอีเวนต์ให้พนักงานใหม่ ซึ่งเป็นงานที่ต้องแอคทีฟตลอด บางทีเราคิดว่าเราทำไหว ยืนดูงานอีเวนต์ 3 ชั่วโมงสบายมาก แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้วไม่ได้สบายขนาดนั้น ก็จะพยายามบอกตัวเองว่าฉันนั่งบ้างก็ได้ บอกคนอื่นว่าขออนุญาตนั่งนะคะนิดนกไม่ไหว แต่เราไม่อยากให้คนคิดว่าเราท้องแล้วเราทำอะไรไม่ได้นะ
อย่างเรื่องติดเข็มกลัดสัญลักษณ์ว่าเป็นคนท้อง ที่นิดนกแชร์ในเฟซบุ๊ก เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าคนท้องก็ทำอะไรได้มากกว่านั่งเฉยๆ คนท้องออกมาพูดและเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้องได้
เราทำเพราะรู้สึกว่าคนไม่รู้เรื่องการติดเข็มกลัดของคนท้องเลย แต่ก่อนเวลาเราเป็นคนธรรมดาไม่ได้ท้อง เราจะมองเห็นคนท้องบนรถไฟฟ้าก็ต่อเมื่อเขามีท้องยื่นออกมา แต่พอเราท้องเอง เราเลยเรียนรู้ว่าคือคนที่ดูผอมๆ ก็อาจจะท้องอยู่ก็ได้ ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยนะถ้าเขาไม่บอก และมันอันตรายมากถ้าเขาขึ้นรถไฟฟ้าแล้วไม่ได้นั่ง เพราะถ้าเกิดรถเบรกแล้วเขาล้มหรือโดนกระแทกนี่อาจจะแท้งได้เลยนะ เราเลยพูดเรื่องการติดเข็มกลัดลงในเฟซบุ๊กเพราะอยากให้คนมีจุดสังเกตร่วมกันว่าคุณอาจจะร่วมทางกับคนท้องอยู่ คนท้องไม่ใช่คนที่ใส่ชุดคลุมท้องทุกคน แต่คือคนที่แต่งตัวอะไรก็ได้
ซึ่งสเตตัสนั้นมีคนแชร์เยอะมาก
มาก เราคิดว่าที่มันประสบความสำเร็จเพราะคนส่วนใหญ่เพิ่งรู้เรื่องนี้จริงๆ ซึ่งคนแชร์เยอะจนเราเริ่มกังวลว่าข้อมูลเราถูกใช่ไหม คนท้องต้องติดเข็มกลัดจริงหรือเปล่า เลยต้องไปเช็คจนได้ข้อสรุปว่ามันไม่ใช่สัญลักษณ์ที่สากลขนาดนั้น แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาแสดงความเห็นประมาณว่าทำไมต้องรอให้คนสังเกต ทำไมคนท้องถึงไม่บอกตรงๆ เลย ซึ่งเราคิดว่าถ้าเป็นคนแบบเราเรากล้านะ เราบอกได้ แต่มันจะมีผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาไม่กล้า เขาก็ต้องยืนตัดพ้อชีวิตตัวเองไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะไปเรียกร้องให้ทุกคนบอกมันก็ไม่ได้เหมือนกัน พวกเกรียนคีย์บอร์ดก็มา เราก็ช่างมัน เพราะส่วนใหญ่ 80% คือคนได้รับรู้แล้วว่าการติดเข็มกลัดแล้วคือสัญลักษณ์ของคนท้อง เราก็โอเคที่มันบรรลุตรงนั้น
ทำไมถึงกล้าขึ้นมาพูดเรื่องนี้
อาจเป็นเพราะว่าวันที่เราเขียนสเตตัสนี้ เราไปเจอผู้หญิงอีกคนที่เขาท้องเหมือนกัน คือลำพังถ้าเรื่องเกิดกับเราคนเดียว เราก็จะแค่ตั้งสเตตัสด่าโลกใบนี้อยู่คนเดียว แต่วันนั้นไปเจอผู้หญิงคนนั้นซึ่งตัวกระติ๊ดเดียวแล้วไม่มีที่นั่งเหมือนเราอีก รู้สึกว่าเขาเจอปัญหาเดียวกับเรา แสดงว่าต้องมีคนท้องที่ติดเข็มกลัดแล้วก็ยังเจอปัญหาแบบนี้อีกเยอะมาก แต่มันไม่มีใครทำอะไร งั้นเราขอช่วยแล้วกัน
(อ่านโพสท์ของนิดนกเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่นี่ )
เท่จัง หนังสือเล่มใหม่จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับการท้องไหม
ใช่ น่าจะน่าจะอย่างนั้น เรารู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยมีหนังสือที่พูดเรื่องคนท้องในเมืองไทย มีแต่หนังสือคนดังแนะนำการออกกำลังกาย ฮาวทูเลี้ยงลูกหรือไม่ก็ความรักของแม่ต่อลูกไปเลย แต่ที่คิดไว้คือเราอยากเขียนถึงมุมมองแบบความเป็นจริง ที่ไม่ได้โรแมนติกขนาดนั้น ผู้หญิงท้องก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่แบกบางอย่างไว้ในพุง แถมยังต้องเจออะไรเยอะแยะ จะดูเป็นแม่เลวๆ นิดนึง (หัวเราะ)
ทำไมถึงชอบเขียนหนังสือ
มันเหมือนเป็นการเก็บบันทึกตัวเราในแต่ละช่วง ไม่ได้มองว่ามันเป็นช่องทางหารายได้ แต่ตอนนี้เริ่มมองแล้ว (หัวเราะ) ตั้งแต่มีลูกก็ต้องหาค่าผ้าอ้อมนิดนึง ตอบดีๆ นะ คือเราอยากแชร์อะไรบางอย่างที่อาจจะไม่เหมือนที่คนอื่นคิดตั้งแต่เรื่องการแต่งงาน (ชื่อหนังสือ – เจ้าสาวที่กลัวสวย) คือเรารู้สึกว่าการแต่งงานมันไม่ได้โรแมนติก ผู้หญิงทุกคนไม่ได้จำเป็นต้องแต่งชุดกระโปรงฟู คือเราก็ใส่ แต่มันไม่ได้แฟรี่เทลขนาดนั้น มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่คุณเป็นเจ้าสาวแล้วคุณจะทำอะไรกับใครก็ได้ เพราะเจ้าสาวมีสิทธิ์เอาแต่ใจตัวเอง แต่เราเลยอยากเล่าในมุมเราว่าการเป็นเจ้าสาวที่มีคุณภาพและเป็นมิตรไม่เป็นมลพิษต่อคนอื่นมันดีกว่า
ส่วนเล่มที่สอง พูดเรื่องชีวิตหลังแต่งงาน (ชื่อหนังสือ –โปรดติดตามตอนแต่งไป) เราก็บอกว่าข้าวใหม่ปลามันมันก็ไม่ได้โรแมนติกอย่างที่ทุกคนคิด มันกลับเป็นช่วงที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ที่แต่งงานหรือใช้ชีวิตคู่ด้วยซ้ำ รู้สึกว่าอยากจะตัดเฉพาะโมเมนต์ที่เราเจอแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คนคาดหวัง มาเล่าให้เขาฟัง
อ่านจากตัวหนังสือ ดูเป็นคนตลกร้าย
เออ อาจเพราะว่าสังคมเรามันมีความประสาทกินมั้ง หรือเราถูกหล่อหลอมมาในสังคมเจซี (คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ที่จะเป็นคนมองทุกอย่างให้เป็นเรื่องตลกร้าย คือเราไม่รู้สึกว่าการด่าหรือการจมอยู่กับปัญหาแบบดาร์กๆ จะเป็นทางออก แต่เราเชื่อในการหามุมที่กระแซะแดกดัน (หัวเราะ) อีกอย่างมันก็ไม่ได้โหดร้ายกับคนอื่นและตัวเราเกินไป คนอื่นอ่านแล้วก็หัวเราะหึๆ เออว่ะมันเลวเนอะ แต่เขาได้พลังบวกบางอย่างให้เอาไปด่ากันต่อได้สนุกปาก เราเชื่อว่าอย่างน้อยมันได้จุดประกายให้เห็นว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ นะในสังคมนี้ เพียงแค่ว่ามันไม่ได้ถูกพูดออกมาตรงๆ
นอกจากนิดนกในโหมดผู้หญิงเชิงรุก ตลกร้าย แต่เราก็แอบเห็นอีกโหมดหนึ่งที่เป็นคนมุ้งมิ้งแม่บ้านที่ทำอาหารกินเองด้วยนะ
มันเริ่มจากตอนที่เราเห่อย้ายบ้าน ทำครัวใหม่ ทำอาหารแล้วเออมันดี มีความสุข ถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วพอช่วงที่มาอยู่คอนโดเราอยู่ใกล้ที่ทำงานมาก ก็เลยจะมีเวลาช่วงเช้าในการทำอาหาร ก็เลยทำโปรเจกต์ Marry Me Free Breakfast ขึ้นมาเล่นๆ ซึ่งไม่ได้จะโชว์ความเป็นแม่บ้านของเรานะ แต่เราทำเพราะเราอยากทำ คือบางคนจะชอบบอกว่าเป็นแม่บ้านแม่เรือนจังเลย แบบมีผัวแล้วก็ต้องทำอาหารให้ผัวกิน แต่สิ่งที่เราคิดคือเราเพิ่งมีโอกาสได้ทำอาหาร เราเพิ่งมีครัว เราก็เลยอยากทำเพราะว่าอยากทำ แล้วถ้าวันไหนผัวไม่กินก็เรื่องของผัว (หัวเราะ) เดี๋ยวเราทำกินเอง และขอถ่ายรูปเก็บไว้เพราะว่ามันสวย
อาหารที่ชอบทำมักจะเป็นอะไร
เมนูที่ไม่มีผัก เช่น แกงจืด ไข่เจียว ยกเว้นว่าบางทีไปกินร้านอาหารแล้วรู้สึกว่าเฮ้ย เมนูนี้เราน่าจะทำเองได้นี่หว่า เราเคยพยายามก็อปปี้เมนูก๋วยเตี๋ยวห่อหมูสับ เกรฮาวด์คาเฟ่ด้วยนะ
พื้นเพก็เป็นคนชอบกิน
ชอบสิ ตอนเด็กๆ เราชอบช่วยแม่ทำอาหาร แต่พอเรียนมหาวิทยาลัยและทำงานก็ย้ายมาอยู่คอนโด พอได้กลับมามีครัวอีกครั้งเลยรู้สึกว่านี่แหละเวลาของฉัน มันเป็นสิ่งผ่อนคลายอย่างหนึ่ง เราจะรู้ตัวเลยว่าวันไหนที่ทำอาหารสมาธิจะดีมาก เราทำอาทิตย์ละประมาณสองครั้ง ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ออกไปกินข้างนอกเลย เมื่อก่อนก็ชอบเสาะหาของกินอร่อย แต่เดี๋ยวนี้กินอะไรก็ได้ที่อยู่ในย่านที่เราคุ้นเคย อย่างเกรฮาวด์คาเฟ่สาขานี้ก็เป็นหนึ่งในร้านที่กินบ่อย
ชอบอะไรในเกรฮาวด์คาเฟ่
ชอบอาหาร รู้สึกว่าราคามันไม่ได้โหดร้ายเว่อร์แล้วรสชาติมันโอเค ตัวเรากับราคา และบรรยากาศร้าน มันมาชนกันพอดี เข้ามากินได้โดยไม่ได้ต้องคิดเยอะ แต่ก่อนเคยคิดว่าเกรฮาวด์คาเฟ่เป็นร้านชิกๆ นะ แต่เดี๋ยวนี้ก็เหมือนคนที่สนิทกันแล้ว คือเราเข้ามากินเพื่อก๋วยเตี๋ยวห่อหมูสับ ไม่ได้เข้ามาเพื่อเห็นโคมไฟ
เกรฮาวด์คาเฟ่ ดูเป็นเพื่อนแบบไหน
น่าจะเป็นเพื่อนเราที่มันดูเท่ๆ หน่อย อารมณ์เพื่อนที่แต่งตัวชิกๆ คูลๆ แต่ว่าถึงมันจะเท่ พอเราไปบ้านมัน เราก็นั่งกินข้าวมูมมามไปกับมันได้ เป็นเพื่อนที่เราเข้าหาได้ ไม่ทำให้เราเกร็ง
คุยกันพอหอมปากหอมคอ วันนั้นเราก็ปล่อย นิดนก เอกชัย และน้องในท้องกินข้าวกันต่อ ส่วนเราขอตัวไปเดินช้อปปิ้งต่อเพลินๆ ในเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เวลาผ่านไปจากวันที่เจอกับนิดนกได้ไม่นาน เราก็ได้ข่าวว่าน้อง ‘ณนญ’ ลูกสาวของเธอได้ออกมาลืมตาดูโลกแล้ว เอาไว้เจ้าหนูโตพอจะกินข้าวนอกบ้านได้เมื่อไหร่ จะขอชวนมากินเกรฮาวด์คาเฟ่ด้วยกันสักมื้อนะ!
ตามติดชีวิตนิดนก เอกชัย และน้องณนญได้ที่